จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเราสัมผัสกับสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ?- โดยธรรมชาติในร่างกายของคนเราจะมีกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในการดำรงชีวิตและเป็นส่วนที่สำคัญ ร่างกายจะถูกสั่งงานด้วยการกระตุ้นของกระแสไฟฟ้าผ่าเส้นประสาททั้งหลายเพื่อให้ร่างกายทำงานอย่างปกติ ปฏิกริยาทางชีวเคมีส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางไฟฟ้าตั้งแต่กระบวนการย่อยอาหารจนถึงการทำงานของสมอง- ผลกระทบของการสัมผัสโดยหลักๆ แล้วจะขึ้นอยู่กับ ค่าความถี่ และ ขนาด ของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ณ ค่าความถี่ต่ำ (50 Hz) ซึ่งเป็นของระบบส่งจ่ายกระแสไฟฟ้านั้น สนามไฟฟ้าและ สนามแม่เหล็กจะผ่านร่างกายไป ในขณะที่ ระดับความถี่วิทยุ สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กบางส่วนจะถูกดูดกลืนผ่านเข้าสู่ร่างกายของคนเรา
- ในทางทฤษฎีจะพบว่าเมื่อเรายืนอยู่ใต้สายส่งไฟฟ้าแรงสูงที่มีการติดตั้งตามมาตรฐานแล้ว สนามไฟฟ้าจะผ่านร่างกายโดยจะมีประจุไฟฟ้ากระจายสะสมบนผิวของร่างกายและทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านร่างกายลงสู่พื้นดิน ในขณะที่ สนามแม่เหล็กจะผ่านร่างกายและจะเหนี่ยวนำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลวนภายในร่างกายตามปกติเหมือนที่ได้รับจากแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กที่อยู่ในชีวิตประจำวัน
- ผลกระทบหรืออันตรายจากสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่มีต่อคนและสัตว์ เป็นคำถามที่มีการกล่าวถึงอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะผู้ที่มีบ้านเรือนหรือที่ทำงานอยู่ใกล้กับสายส่งไฟฟ้าแรงสูง จะมีความวิตกกังวลถึงอันตรายที่อาจจะขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น ซึ่งในเรื่องนี้ได้มีการศึกษาวิจัยกันทั่วโลก แต่ก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ว่ามีหรือไม่มีอันตรายแต่ประการใด เพราะไม่มีหลักฐานหรือข้อมูลที่ยืนยันหรือพิสูจน์ได้ชัดเจน
- ปัจจุบันการไฟฟ้านครหลวงได้มีการติดตั้งระบบส่งจ่ายกำลังไฟฟ้าตามมาตรฐานและควบคุมค่าสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่มีความปลอดภัยให้เป็นไปตามที่องค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) กำหนด ซึ่งได้ร่วมกับหน่วยงาน
International Commission on Non-Ionizing Radiation Protection (ICNIRP) ทำการวิจัยและพัฒนาด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับสนามแม่เหล็กไฟฟ้าโดยได้กำหนดระดับสูงสุดของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่เกิดจากระบบไฟฟ้าความถี่ต่ำ
(50 Hz) ที่ประชาชนสามารถสัมผัสได้อย่างปลอดภัยไว้ ดังแสดงในตาราง
ข้อมูลจาก ... ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ของการไฟฟ้านครหลวง
ทำไมสนามแม่เหล็กจึงรบกวนการทำงานบนจอคอมพิวเตอร์ ?
- เส้นที่เป็นคลื่นและภาพที่สั่นพลิ้วบนจอคอมพิวเตอร์นั้นเป็นอาการที่สนามแม่เหล็กของหลอดภาพถูกรบกวนจากสนามแม่เหล็กภายนอก สนามแม่เหล็กสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เมื่อมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือสายไฟฟ้า ดังนั้นสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นจากเครื่องใช้ไฟฟ้าและการส่งจ่ายไฟฟ้า รวมถึงระบบไฟฟ้าภายในอาคารล้วนเป็นแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กที่สามารถทำให้เกิดอาการสั่นพลิ้วของภาพบนจอคอมพิวเตอร์ชนิดหลอดภาพ CRT ได้ทั้งสิ้น โดยทั่วไปสนามแม่เหล็กจะต้องมีค่ามากกว่า 10 mG จึงจะทำให้เกิดการสั่นพลิ้วของภาพบนจอคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของจอภาพ โดยจอภาพขนาดใหญ่ (วัดเส้นทแยงมุมของจอภาพหน่วยเป็นนิ้ว) จะมีความอ่อนไหวต่อสนามแม่เหล็กมากกว่าจอภาพขนาดเล็ก นั่นหมายถึงจอภาพขนาดใหญ่จะถูกรบกวนได้ง่ายกว่า
- หากภาพบนจอคอมพิวเตอร์มีอาการสั่นพลิ้วจะแก้ไขอย่างไร…ก่อนอื่นต้องพยายามหาแหล่งกำเนิดหรือตัวสร้างสนามแม่เหล็กที่ทำให้เกิดการสั่นพลิ้วโดยการปิดไฟแสงสว่างและเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ทีละอย่างและให้สังเกตอาการสั่นพลิ้วที่เปลี่ยนไป ในกรณีที่เป็นตัวสร้างสนามแม่เหล็กเมื่อปิดแล้วอาการสั่นพลิ้วจะลดลงเมื่อหาแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กที่ทำให้เกิดการสั่นพลิ้วได้แล้ว วิธีการแก้ไข อย่างแรกคือ ให้พยายามย้ายจอคอมพิวเตอร์หรือแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กอย่างใดอย่างหนึ่งให้ห่างจากกันจนกว่าอาการสั่นพลิ้วจะหมดไป ซึ่งในบางกรณีสามารถแก้ไขอาการสั่นพลิ้วได้โดยง่ายด้วยการเปลี่ยนทิศทางการวางจอภาพ (หมุนจอภาพ)
- ถ้าแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กเกิดจากระบบแสงสว่าง ซึ่งส่วนมากมักจะมาจากบัลลาสต์ชนิดขดลวดแกนเหล็ก ในกรณีนี้การเปลี่ยนบัลลาสต์จากชนิดขดลวดแกนเหล็กเป็นบัลลาสต์อิเล็กทรอนิกส์สามารถลดสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นและช่วยแก้ไขอาการสั่นพลิ้วของภาพบนจอได
- ในกรณีที่จอภาพและแหล่งกำเนิดสนามแม่เหล็กไม่สามารถเคลื่อนย้ายตำแหน่งการวางได้ การปรับความถี่การสแกนหรือการกวาดภาพในแนวตั้ง (Refresh rate) ให้มีค่าสูงกว่า50 Hz มากๆ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขอาการสั่นพลิ้วของภาพบนจอได้ เช่น ปรับเป็น 75 Hz หรือ 85 Hz ความถี่ในการสแกนนี้สามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนได้โดยเข้าไปที่ Display Properties เลือกเมนู Setting คลิกที่ปุ่มAdvanced เลือกเมนู Monitor แล้วเลือกค่าความถี่ในการสแกนที่ต้องการในส่วนของMonitor Setting (สำหรับ Microsoft Window) ในบางครั้งการปรับความถี่ในการสแกนก็ไม่สามารถแก้ไขอาการสั่นพลิ้วของภาพบนจอได้เนื่องจากสนามแม่เหล็กอาจมีค่าสูงมากในบริเวณนั้น
- กรณีที่ตรวจพบว่าแหล่งกำเนิดหรือตัวสร้างสนามแม่เหล็กรบกวนมาจากสายตัวนำของการไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ของการไฟฟ้าหรือมาจากอาคารข้างเคียงให้ปรึกษาหรือแจ้งการไฟฟ้าในเขตพื้นที่เพื่อพิจารณาหาแนวทางแก้ไขต่อไป
- มาตรการสุดท้ายในการแก้ไขอาการสั่นพลิ้วของภาพบนจอคอมพิวเตอร์ คือ การกำบังหรือชี ลด์ ( Shield )จอคอมพิวเตอร์หรือบริเวณพื้นที่ใช้งาน ด้วยวัสดุชีลด์ซึ่งเป็นโลหะผสมที่มีคุณสมบัติพิเศษในการกำบังสนามแม่เหล็ก เช่น แผ่นเหล็กที่ใช้ทำแกนของหม้อแปลงไฟฟ้ากำลัง เป็นต้น การใช้วัสดุชีลด์สามารถลดทอนหรือป้องกันการรบกวนจากสนามแม่เหล็กได้
- การหลีกเลี่ยงการรบกวนของสนามแม่เหล็ก บนจอคอมพิวเตอร์จากระบบส่งจ่ายไฟฟ้า ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานคอมพิวเตอร์ใกล้แนวสายไฟฟ้าของการไฟฟ้า หรือ ควรใช้งานห่างจากแนวสายของการไฟฟ้าเป็นระยะประมาณ 5 ถึง 15 เมตร ขึ้นอยู่กับชนิดและประเภทของสายไฟฟ้าหากมีความจำเป็นหรือหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้งานคอมพิวเตอร์ในบริเวณที่มีสนามแม่เหล็กรบกวน ควรเลือกใช้จอคอมพิวเตอร์ที่เป็นจอภาพชนิด LCD แทนจอชนิดหลอดภาพ CRT เนื่องจากสนามแม่เหล็กไม่มีผลกระทบต่อการทำงานของจอภาพชนิดนี้
จากหนังสือ Power Cables and Their Application หัวข้อ Arrangement of Cable ได้กล่าวถึงวิธีการจัดเรียงสายเคเบิลไว้ดังนี้1) การจัดวางสายเคเบิลแบนหรือวางเรียงกัน (Flat Formation) การจัดวางสายเคเบิลแบบ Flat โดยเรียงแบบ (A1)(B1)(C1) – (C2)(B2)(A2) – (A3)(B3)(C3) … (สลับเฟสแบบนี้ไปเรื่อยๆ ตามรูปที่ 1-a) การจัดวางแบบนี้ค่า inductance ของเฟสเดียวกัน (A1=A2=A3…) , (B1=B2=B3…), (C1=C2=C3…) จะมีค่าเท่ากัน ...แต่ค่า inductance รวมของเฟส A = (A1+A2+A3), B = (B1+B2+B3), C = (C1+C2+C3) ของแต่ละเฟสจะไม่เท่ากัน จึงทำให้กระแสโหลดจะแบ่งไหลภายในเฟสเดียวกันใกล้เคียงกันแต่กระแสโหลดต่างเฟสกันจะแตกต่างกันบ้าง
*** แต่หากจัดวางแบบ Flat โดยเรียงแบบ ABC – ABC – ABC (ไม่สลับเฟส แต่วางเรียงกันไปเรื่อยๆ ตามรูปที่ 1-b) การจัดวางแบบนี้ นอกจากค่า inductance ของแต่ละเฟส A,B,C จะไม่เท่ากันแล้ว ยังทำให้ค่า inductance ของเฟสเดียวกันก็ยังไม่เท่ากันอีกด้วย ผลที่เกิดคือกระแสโหลดจะไหลไม่เท่ากันทั้งที่เป็นเฟสเดียวกัน และต่างเฟสกันก็ไหลไม่เท่ากันเช่นกัน ... ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบกันการจัดสายแบบ Flat ในรูปที่ 1-a) จะดีกว่าการจัดวางแบบ Flat ในรูปที่ 1-b)
2) การจัดวางสายเคเบิลแบบสามเหลี่ยม (Trefoil Formation)
การจัดวางแบบสามเหลี่ยม โดยเรียงตามรูปที่ 2-a) การวางแบบนี้จะทำให้ค่า inductance ของเฟสเดียวกัน (A1=A2=A3…) , (B1=B2=B3…), (C1=C2=C3…) จะมีค่าเท่ากัน ซึ่งคล้ายรูปแบบการวางแบบ Flat ตามรูป 1-a) แต่การวางแบบ Trefoil ตามรูปที่ 2-a) นี้ยังสามารถทำให้ค่า inductance ของแต่ละเฟส A,B,C ... (A1+A2+A3) = (B1+B2+B3) = (C1+C2+C3) ในวงจรเดียวกันมีค่าเท่ากันอีกด้วย
*** ส่วนการวางแบบสามเหลี่ยมตามรูปที่ 2-b) ซึ่งก็คล้ายกับรูปที่ 1-b) โดยจะทำให้ค่า inductance ของเฟสเดียวกันจะไม่เท่ากัน และพลอยส่งผลให้ค่า inductance ของแต่ละเฟส A,B,C ไม่เท่ากันตามไปอีกด้วย
ดังนั้นการวางแบบสามเหลี่ยม ตามรูปที่ 2-a) จึงมีการทำให้ค่า inductance ในสายเคเบิลมีค่าที่ต่ำที่สุดจึงเหมาะกับการเดินสายในกรณีที่มีโหลดกินกระแสสูงๆ เพื่อลดค่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าเหนี่ยวนำระหว่างสายที่ไม่สมดุลกันส่งผลให้สายบางเส้นร้อนกว่าสายเส้นอื่นได้
Circuit Breaker (CB) สำหรับไฟฟ้าแรงสูงมีกี่ประเภท และมีพัฒนาการมาอย่างไร ?องค์ประกอบทางโครงสร้างของ Circuit Breaker สำหรับระบบไฟฟ้าแรงดันสูงจะคล้ายกับชนิดแรงต่ำ แต่จะมีส่วนที่แตกต่างกันในอุปกรณ์สั่งตัดตอน (Tripping Unit) เท่านั้น ใน CB แรงดันต่ำการ Trip เกิดจาก Thermal Trip Unit หรือ Electro Magnetic Trip Unit ซึ่งเป็นลักษณะของส่วนประกอบหลัก (Built-In Unit) ในตัวอุปกรณ์ ...แต่ CB ในระบบแรงดันไฟสูง ไม่มีอุปกรณ์ดังกล่าวในตัวเอง CB จะรับสัญญาณ Overload Current หรือ Short Circuit Current จากอุปกรณ์ตรวจจับภายนอก (Protective Relay) แล้วสั่งให้ Shunt Trip หรือ No-Voltage Release Coil ตัด CB ออกจากการจ่ายไฟฟ้า
Circuit Breaker ไฟฟ้าแรงดันสูงมีพัฒนาการมานาน พอจะเรียงลำดับรุ่นต่างๆได้ดังนี้
1) Air Circuit Breaker (ACB) เป็นพัฒนาการรุ่นแรกที่ใช้วิธีการดับ Arc ในอากาศภายในช่อง Arc-Chute สามารถทำได้ถึงระดับแรงดันไฟฟ้า 24kV สูงสุด การทำงานเหมือน ACB ชนิดไฟฟ้าแรงต่ำ แต่ขณะเปิด-ปิด วงจรจะมีเสียงดังมาก บางครั้งเหมือนเสียงระเบิดลูกเล็กๆ
2) Oil Circuit Breaker (OCB) เป็นพัฒนาการที่สูงขึ้นโดยใช้น้ำมันมาเป็นฉนวนไฟฟ้า และใช้ในการดับ Arc ที่เกิดขึ้น พัฒนาการในรุ่นแรกๆ จะเป็นแบบ Maximum Oil Circuit Breaker ถังน้ำมันจะมีขนาดใหญ่ ช่องที่ออกแบบไว้สำหรับ Main Contact และ Arc-Chute ต่างๆ จะใหญ่โต จึงต้องบรรจุน้ำมันเป็นปริมาณมากๆ ต่อมาได้พัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เป็นรุ่น Minimum Oil Circuit Breaker โดยการพัฒนาวัสดุต่างๆ รวมถึงเทคนิคการออกแบบ ทำให้ขนาดอุปกรณ์เล็กลงพอจะบรรจุอยู่ในกระบอกเล็กๆ ที่ใส่น้ำมันไว้เพียงเล็กน้อย ระดับแรงดันที่ทำได้สูงสุดคือ 69kV
3) Vacuum Circuit Breaker (VCB) เป็นพัฒนาการที่จะทำให้อุปกรณ์มีขนาดเล็กลงโดยให้ส่วนที่มีไฟฟ้า เช่น หน้าสัมผัสต่างๆ อยู่ภายในกระบอกสุญญากาศ นั่นคือ Arc ที่เกิดขึ้นในสุญญากาศจะมีน้อยมาก (ไม่มีสุญญากาศที่แท้จริงในกระบอก) อุปกรณ์ที่ใช้โดยทั่วไปจะคล้ายของ Minimum Oil พัฒนาการทำให้สูงสุดถึง 36kV นิยมใช้แพร่หลายในญี่ปุ่น และบางประเทศในยุโรป
4) Gas Circuit Breaker (GCB) เป็นพัฒนาการชนิดที่สามารถใช้กับระบบไฟฟ้าแรงดันสูง เช่น 69kV, 115kV, 230kV และ 500kV ต้นกำเนิดของอุปกรณ์เริ่มจากระดับแรงดันสูงๆ อย่างนี้เพราะมีราคาแพงมาก ...ภายหลังที่เทคนิคการผลิต และปริมาณการใช้เริ่มสูงขึ้นจึงทำให้มีราคาถูกลงจนนำมาใช้ในระบบ 69kV, 24kV ได้อย่างแพร่หลาย ก๊าซที่ใช้เป็นชนิด SF6 ขนาดของอุปกรณ์กะทัดรัด บางยี่ห้อจะมีอุปกรณ์วัดแรงดันก๊าซภายในกระบอก แต่บางยี่ห้อไม่มีโดยอ้างว่า Baring ที่ใช้เป็นชนิดน้ำมัน 2 ชั้น ที่ก๊าซไม่มีโอกาสรั่วออกมาเลย ตลอดเวลามากกว่า 20 ปี ส่วนยี่ห้อที่มีอุปกรณ์วัดแรงดันก๊าซนั้น Baring ที่ใช้มีวิธีการ Seal ก๊าซโดยใช้ Double O-Ring ที่เป็นยาง แต่อย่างไรก็ตามอุปกรณ์ได้มีการออกแบบไว้ให้มีความปลอดภัยโดยหากเกิดการรั่วของก๊าซแล้ว สุดท้ายจะยังคงมีก๊าซอยู่ภายในกระบอกซึ่งมีแรงดันเท่ากับ 1 บรรยากาศ และเพียงพอให้อุปกรณ์ Trip ได้ 1 ครั้ง โดยไม่เกิดอันตรายแต่อย่างใด หลังจากนั้นระบบจะ Lock ไม่ให้เกิดการสับสวิทซ์ต่อไป
Cr. ความรู้เบื้องต้นวิศวกรรมงานระบบ_EEC
ค่า Icu, Ics, Icw ของเบรกเกอร์ คืออะไร ?
Ic (Interrupting Capacity) เป็นพิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุดโดยปลอดภัยของเบรคเกอร์นั้นๆ โดยปกติกำหนดค่าการทนกระแสเป็น kA. ค่า Ic จะบอกให้รู้ว่าเบรคเกอร์ที่ใช้นั้นมีความปลอดภัยมากน้อยเพียงใด การเลือกค่ากระแส Ic จะต้องรู้ค่ากระแสลัดวงจร ณ. จุดนั้นๆ เสียก่อน
พิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุด Interrupting Capacity (Ic) ตามมาตรฐาน IEC60947-2 แล้วสามารถแบ่งเป็น 4 ประเภทคือ
*** 1) Icu หรือ Icn (Rated short-circuit breaking capacity)
หมายถึงพิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุดโดยปลอดภัยของเบรคเกอร์ ตามมาตรฐานแล้วจะระบุเป็นค่า r.m.s ของกระแสไฟสลับ โดยถือว่าส่วนประกอบ transient กระแสตรง (ค่า DC. Transient ) เป็นศูนย์ พิกัดกระแสดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมเรียกว่า ค่า Icu (Rated ultimate s.c. breaking capacity) ส่วนภาคที่อยู่อาศัยเรียกว่า Icn ปกติจะมีหน่วยเป็น kA r.m.s. การทดสอบค่า Icu หรือ Icn ตามมาตรฐาน IEC มี 3 ลักษณะคือ
1.1) Operating sequences(open-close/open) คือการทดสอบการทนกระแสลัดวงจร โดยทำการปิดและเปิดวงจร ของเบรคเกอร์ขณะมีกระแสลัดวงจร
1.2) Current and voltage phase displacement คือการทดสอบการทนกระแสลัดวงจรที่ค่า power factor ต่างๆ กัน ซึ่งพบว่าถ้า power factor = 1 จะปลดวงจรง่ายกว่า และถ้า power factor มีค่าต่ำเท่าใดการปลดวงจรยิ่งทำได้ยากเท่านั้น ซึ่งสอดคล้องกับความเป็นจริงที่ว่าระบบไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็น lagging power factor และยิ่งมีกระแสลัดวงจรสูงเท่าใด (อยู่ใกล้ generator หรือหม้อแปลงขนาดใหญ่) ค่า power factor ก็ยิ่งต่ำลง
1.3) Dielectric withstand capability คือการทดสอบความเป็นฉนวนของโครง (case) ของเบรคเกอร์ หลังจากการ short-circuit ไปแล้วว่ายังคง
*** 2) Icm (Rated making capacity)
หมายถึงพิกัดการทนกระแสลัดวงจรสูงสุดที่เป็น peak current ที่เบรคเกอร์ สามารถทนได้ และทำการปลดวงจรแบบทันทีทันใด (instantaneous) โดยไม่มีการหน่วงเวลาที่แรงดันพิกัด (rated voltage) ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด
ในระบบไฟฟ้ากระแสสลับ ค่ากระแส peak มีความสัมพันธ์กับค่า Icu ด้วยตัวคูณ (k factor) ซึ่งต่างกันไปตามค่า power factor ของกระแสลัดวงจร ดังนี้
- (Icu) มากกว่า 6kA ถึง 10kA -> (power factor) = 0.5 -> (Icm) = 1.7 x Icu
- (Icu) มากกว่า 10kA ถึง 20kA -> (power factor) = 0.3 -> (Icm) = 2 x Icu
- (Icu) มากกว่า 20kA ถึง 50kA -> (power factor) = 0.25 -> (Icm) = 2.1 x Icu
- (Icu) มากกว่า 50kA -> (power factor) =0.2 -> (Icm) = 2.2 x Icu
*** 3) Icw (Rated short-time withstand current)
ค่านี้ขึ้นอยู่กับประเภทของ switchgear แรงต่ำ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ
3.1) ชนิด A คือระบบ switchgear ที่ไม่มีความต้องการให้มีการหน่วงเวลาในการทำงานของอุปกรณ์ magnetic trip (เป็นการปลดวงจรโดยอาศัยอำนาจแม่เหล็ก) ได้แก่ molded case circuit breaker ทั่วไป ดังนั้น molded case CB. จึงไม่มีค่า Icw
3.2) ชนิด B คือระบบ switchgear ที่สามารถหน่วงเวลาในการปลดวงจรได้ ทั้งนี้เพื่อให้สามารถทำการปลดวงจรเป็นลำดับขั้น (discrimination) ในระบบ โดยเบรคเกอร์ตัวที่อยู่ใกล้กระแสลัดวงจรที่สุดควรปลดวงจรก่อน ดังนั้นตัวที่อยู่ถัดไป (โดยเฉพาะตัว main) ต้องทนกระแสลัดวงจรซึ่งสูงกว่าและเป็นเวลาที่นานกว่าได้ โดยตัวมันเองไม่ปลดวงจรและไม่เสียหาย ค่าพิกัดและกระแสการลัดวงจรสูงสุดที่เบรคเกอร์ทนได้ในกรณีที่ต้องหน่วงเวลาเช่นนี้เรียกว่า short-time withstand current rating (Icw) โดยปกติค่า Icw จะถูกระบุหรือทดสอบกับเบรคเกอร์แบบ electronic trip เช่น Air circuit breaker หรือ molded case ประเภท heavy duty
กล่าวโดยสรุป Icw คือค่ากระแสลัดวงจรสูงสุดสำหรับเบรคเกอร์ชนิด B ที่สามารถทนได้ทั้งผลทางด้านอุณหภูมิ , ความเค้นและ ความเครียดจากสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้น โดยตัวมันเองไม่เสียหายในช่วงเวลาหนึ่ง ตามที่โรงงานผู้ผลิตระบุ
*** 4) Ics (Rated service short short-circuit breaking capacity)
เป็นค่าที่บอกให้รู้ว่าเมื่อเบรคเกอร์ปลดวงจรหลังจากเกิดการลัดวงจรครั้งแรกแล้ว เบรคเกอร์ตัวนั้นจะสามารถทนกระแสลัดวงจร ในครั้งถัดไปได้เท่าเดิมหรือไม่โดยเทียบกับค่า Icu โดยระบุเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่า Icu เช่น 25 , 50 , 75 และ 100%
เช่น เบรคเกอร์ตัวหนึ่งระบุค่า Ics = 0.5 Icu หมายความว่าเมื่อเบรคเกอร์ปลดวงจรหลังจากเกิดการลัดวงจรครั้งแรกแล้ว เบรคเกอร์ตัวนั้นจะสามารถทนกระแสลัดวงจร ในครั้งถัดไปได้เท่ากับ 50% ของ Icu
* คัดลอกจากวารสารโอมห์ แมกกาซีน ฉบับที่1 มิถุนายน-สิงหาคม 2000 ในเครือ schneider electric*
การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์
ได้แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในเซอร์กิตเบรคเกอร์ ซึ่งสาเหตุอาจจะเกิดจากเซอร์กิตเบรคเกอร์มีการรับภาระทางไฟฟ้ามากทำให้หน้าสัมผัสหรืออุปกรณ์ภายในตัวเซอร์กิตเบรคเกอร์ชำรุด โดยการแก้ไขนั้นอาจจะต้องมีการถอดเซอร์กิตเบรคเกอร์เพื่อดูส่วนประกอบภายในของเซอร์กิตเบรคเกอร์ดูว่าอุปกรณ์ใดชำรุดบ้างก่อนที่จะเกิดความเสียหายหรือระเบิดขึ้น
เกิดความร้อนที่กับดักฟ้าผ่าภายในสถานีไฟฟ้า
เป็นภาพการเกิดความร้อนขึ้นที่ตัวกับดักฟ้าผ่าในสถานีไฟฟ้าของ กฟภ. ซึ่งการเกิดความผิดปกติดังกล่าวอาจทำให้เกิดการระเบิดของอุปกรณ์ดังกล่าวขึ้นได้โดยไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้
การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำ
ได้แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำภายในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจากการตรวจสอบเบื้องต้นได้สันนิษฐานเบื้องต้นเกิดจากจุดต่อมีการกวดขันไม่แน่นเพียงพอ แต่เมื่อพนักงานได้ทำการตรวจสอบหม้อแปลงลูกอื่นๆบริเวณใกล้เคียงแล้วพบว่ามีลักษณะสิ่งผิดปกติที่ใกล้เคียงกัน และจากการสอบถามช่างเทคนิดของโรงงานได้ให้ข้อมูลว่าระบบไฟฟ้าดังกล่าวเป็นที่เหมือนกับประเทศญี่ปุ่น(110/220 โวลท์) และจากข้อมูลพื้นฐานดังกล่าวจึงพอสันนิษฐานได้ว่าสาเหตุการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่บุชชิ่งด้านไฟฟ้าแรงต่ำน่าจะเกิดจากการจัดภาระทางไฟฟ้าของหม้อแปลงไม่สมดุลย์ภายในโรงงาน
การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่สายศูนย์
แสดงถึงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่สายศูนย์ภายในโรงอุตสาหกรรมอิเลคทรอนิกส์ ซึ่งสาเหตุเกิดจากการจัดภาระทางไฟฟ้าไม่สมดุลย์ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าไหลที่สายศูนย์ขึ้น
การเกิดความร้อนที่ลูกถ้วยในระบบจำหน่ายไฟฟ้า
เป็นภาพด้วยกล้องส่องหาความร้อนซึ่งพบสิ่งผิดปกติ คือมีเกิดความร้อนขึ้นระหว่างลูกถ้วยลูกที่ 1 และ ลูกถ้วยลูกที่ 2 และจากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้อง ปรากฏว่าสิ่งผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุ Preformed มีการสัมผัสกับโลหะด้านบนของลูกถ้วย
การเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR
แสดงการเกิดความร้อนสูงผิดปกติที่น็อตยึด BUSBAR ซึ่งเกิดจากสาเหตุการสั่นสะเทือนของหม้อแปลงซึ่งเป็นชนิดติดตั้งภายในอาคารทำให้น็อตยึด BUSBAR เกิดการสั่นสะเทือนด้วยและเกิดการเสียดสีทำให้เกิดความร้อนขึ้น
การเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในกระบอกฟิวส์
เป็นภาพที่พนักงาน กฟภ. ได้ไปดำเนินการให้บริการแก่ผู้ไฟภาคธุรกิจอุตสาหกรรม จากภาพดังกล่าวเป็นฟิวส์ป้องกันของคาปาซิเตอร์ ซึ่งจะเห็นได้ว่ากระบอกฟิวส์เฟส C จะมีความร้อนสูงกว่าเฟสข้างเคียงซึ่งสันนิฐานว่าชุดฟิวส์ link ภายในกระบอกฟิวส์ดังกล่าวเริ่มเกิดการหลอมละลายทำความความร้อนสูงขึ้นผิดปกติ
การเกิดความร้อนที่สายดินของสายเคเบิลใต้ดินในสถานีไฟฟ้า
เป็นการตรวจสอบระบบไฟฟ้าในสถานีไฟฟ้าของ กฟภ. พบว่าเกิดความร้อนในสายดินของสายเคเบิลใต้ดินในสถานีไฟฟ้า และจากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้องและได้สันนิฐานว่าสิ่งผิดปกติดังกล่าวเกิดขึ้นน่าจะมีเนื่องจากสาเหตุการจัดเรียงลำดับเฟสของสายเคเบิลใต้ดินไม่เหมาะสม และหลังจากทราบสาเหตุเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการแก้ไขเป็นปกติแล้ว
เกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัวของเสาไฟฟ้าที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า
เป็นภาพการเกิดความร้อนที่จุดต่อของสายดินเหนือหัวของเสาไฟฟ้าที่มีการติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้า จากการสอบถามพนักงานที่เกี่ยวข้องและได้ดำเนินการแก้ไขพบว่าเกิดจากสายศูนย์ของระบบไฟฟ้าแรงต่ำที่เสาไฟฟ้าข้างเคียงสัมผัสกับดินเหนือหัว(Overhead Ground wire) ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าแยกไหลผ่านสายดินเหนือหัวกลับไปยังหม้อแปลง และจากภาพแสดงให้เห็นถึงการจัดโหลดไม่สมดุลยของระบบไฟฟ้าแรงต่ำ รวมทั้งการกวดขันจุดต่อของระบบสายดินเหนือหัวไม่แน่นเพียงพออีกด้วย